Dec

สวิตเซอร์แลนด์

วางแผนเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ กับเรื่องน่ารู้ก่อนไปเยือนดินแดนสวรรค์ยุโรป

การไป ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกสำหรับการท่องเที่ยวที่มักจะติดอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ ด้วยภูมิประเทศที่งดงามราวแดนสวรรค์ รายล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์อันยิ่งใหญ่ ทะเลสาบที่ใสสะอาด ย่านเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ และระบบขนส่งที่สะดวกสบาย ทำให้สวิตเซอร์แลนด์เปรียบเสมือนดินแดนสวรรค์ของยุโรปที่ใคร ๆ ก็อยากไปเยือนกันสักครั้ง สำหรับใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ เราก็ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจพร้อมเรื่องที่ควรรู้มาฝากกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการเดินทาง การขอวีซ่า หรือแม้แต่การเช่าเสื้อกันหนาวเพื่อรับมืออากาศหนาวเย็นของเทือกเขาแอลป์ เพื่อให้ทริปในฝันของคุณนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและเต็มไปด้วยความประทับใจ

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) มีชื่อทางการคือ สมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation) ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยมีพรมแดนติดกับ 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนีทางทิศเหนือ

ฝรั่งเศสทางทิศตะวันตก อิตาลีทางทิศใต้ ออสเตรียและลิกเตนสไตน์ทางทิศตะวันออก เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงดงามของธรรมชาติ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาโดยเฉพาะเทือกเขาแอลป์ซึ่งกินพื้นที่ถึงสองในสามของประเทศ นอกจากนี้ยังมีที่ราบสูงสวิส (Swiss Plateau) และเทือกเขาจูรา (Jura Mountains) ทำให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศนี้มีทัศนียภาพหลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาสลับซับซ้อนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เมืองที่งดงามมีสเน่ห์ ไปจนถึงทะเลสาบสีฟ้าใสที่สะท้อนเงาของยอดเขา

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีเนื้อที่ประมาณ 41,285 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่กว่า 70% ของประเทศถูกปกคลุมด้วยเทือกเขาแอลป์ (Alps) และเทือกเขาจูรา (Jura Mountains) ทำให้มีทิวทัศน์ของภูเขา ทะเลสาบ และธารน้ำแข็งที่สวยงามตระการตา ตามเมืองใหญ่แต่ละเมือง เช่น ซูริก (Zurich) เจนีวา (Geneva) ลูเซิร์น (Lucerne) และอินเตอร์ลาเคน (Interlaken) ต่างก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนกันตลอดทั้งปี

การขอวีซ่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์

การขอวีซ่าสำหรับทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ที่ถือพาสปอร์ตไทยจำเป็นต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ประเภทพำนักระยะสั้น (Short-Stay Visa) ก่อนเดินทาง เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศสมาชิกของเขตเชงเก้น (Schengen Area) โดยสามารถยื่นขอผ่านศูนย์รับคำร้อง VFS Global ซึ่งเป็นตัวแทนของสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ในประเทศไทยได้ โดยปกติแล้วการพิจารณาวีซ่าจะใช้เวลาประมาณ 10 - 15 วันทำการ มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ราว ๆ 80 ยูโร (ประมาณ 3,000 บาท) การยื่นคำร้องขอวีซ่าประเภทพำนักระยะสั้นไม่สามารถยื่นเอกสารล่วงหน้าเกินกว่า 90 วันก่อนเดินทาง และต้องยื่นเอกสารสมัครวีซ่าอย่างน้อย 15 วันตามปฏิทินก่อนวันที่ประสงค์จะเดินทาง โดยเอกสารหลักที่ใช้ยื่นขอวีซ่าก็มีดังนี้

- หนังสือเดินทาง (Passport) ที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าเชงเก้น ที่กรอกข้อมูลครบถ้วนถูกต้อง
- รูปถ่ายขนาดพาสปอร์ต ตามมาตรฐานยุโรป (โดยทั่วไป 3.5 ซม. x 4 ซม. พื้นหลังสีขาว ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน)
- หลักฐานทางการเงิน เช่น รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน หรือสลิปเงินเดือน
- ตั๋วเครื่องบินไป - กลับ แผนการเดินทางและกำหนดการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์คร่าว ๆ
- ใบจองที่พัก หรือเอกสารยืนยันจากบริษัททัวร์ (กรณีซื้อทัวร์สวิตเซอร์แลนด์)
- ประกันการเดินทาง ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อย 30,000 ยูโร
- เอกสารเพิ่มเติมตามอาชีพ เช่น จดหมายรับรองการทำงาน เอกสารรับรองจากสถาบันที่กำลังเรียนอยู่ หลักฐานการเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นต้น

ภาษาประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีอีกหนึ่งจุดเด่นคือความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งจะมีการใช้ภาษาที่แตกต่างกันออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ โดยมีภาษาราชการ (Official Languages) มากถึง 4 ภาษา ได้แก่

- ภาษาเยอรมัน (German) เป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดกว่า 63% ของประชากร ใช้ในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือของประเทศ เช่น เมืองซูริก, เบิร์น, ลูเซิร์น โดยจะใช้สำเนียงภาษาเยอรมันแบบสวิส (Swiss German) สำหรับการพูดคุยในชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาเยอรมันมาตรฐาน (Standard German) ในการเขียนและสื่อสารที่เป็นทางการ
- ภาษาฝรั่งเศส (French) หรือที่เรียกว่า โรมันดี (Romandie) ใช้ในภาคตะวันตกของประเทศ ประมาณ 23% ของประชากร เช่น เมืองเจนีวา, โลซาน, มงเทรอซ์
- ภาษาอิตาลี (Italian) ใช้กันในภาคใต้ของประเทศ ประมาณ 8% ของประชากร โดยเฉพาะในรัฐทิชีโน (Ticino) และบางส่วนของรัฐเกราบึนเดิน (Graubünden)
- ภาษารูมันช์ (Romansh) เป็นภาษาที่มีผู้ใช้จำนวนน้อยที่สุด ประมาณ 0.5% ของประชากร โดยใช้กันในรัฐเกราบึนเดิน (Graubünden) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ถึงแม้ภาษาที่ใช้จะมีความหลากหลาย แต่คนสวิตเซอร์แลนด์ส่วนใหญ่ก็สามารถพูดและใช้ภาษาอังกฤษได้ดี โดยเฉพาะตามเมืองท่องเที่ยวและโรงแรมต่าง ๆ จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสื่อสารแต่อย่างใดค่ะ

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แบ่งเขตการปกครอง

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ปกครองในระบอบสหพันธรัฐ (Federal Republic) ประกอบด้วย 26 รัฐ (Cantons) ซึ่งเปรียบเสมือนกับรัฐย่อย โดยแต่ละรัฐมีอำนาจในการปกครองตนเองสูงมาก มีรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และรัฐสภาของตนเอง ส่วนรัฐบาลกลางจะมีอำนาจในการดูแลด้านต่างประเทศ การเงิน และการป้องกันประเทศ รวมไปถึงนโยบายระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ในขณะที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจผ่านการลงประชามติ ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นของระบบประชาธิปไตยในสวิตเซอร์แลนด์ โดยรัฐบาลกลางตั้งอยู่ที่เมืองเบิร์น (Bern) ซึ่งเป็นเมืองหลวง (Federal City) ของประเทศ ซึ่งระบบการปกครองแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของภาษาและวัฒนธรรมในประเทศ ที่แต่ละรัฐจะคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และกฎหมายท้องถิ่นของตนเอง โดย 26 รัฐของสวิตเซอร์แลนด์ ประกอบไปด้วย

1. รัฐซูริก (Canton of Zurich) เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ในที่ราบสูงกลางของสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีทะเลสาบซูริก (Lake Zurich) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด
2. รัฐเบิร์น (Canton of Berne) เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ แหล่งรวมมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นที่ตั้งของรัฐสภาสวิสซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังกลาง
3. แคว้นลูเซิร์น (Canton of Lucerne) เป็นรัฐที่พูดภาษาเยอรมันทั้งรัฐ ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของชายฝั่งทะเลสาบลูเซิร์น (Lake Lucerne) และสะพานชาเปล (Chapel Bridge) อันโด่งดัง
4. แคว้นอูรี (Canton of Uri) ตั้งอยู่ในภาคกลางระหว่างทะเลสาบลูเซิร์นและช่องเขากอตธาร์ด เป็นหนึ่งในรัฐผู้ก่อตั้งสหพันธรัฐสวิส และถือเป็นจุดเริ่มต้นการแสวงหาเอกราช
5. รัฐชวีซ (Canton of Schwyz) ตั้งอยู่ในภาคกลางระหว่างทะเลสาบซูริกและลูเซิร์น เป็นที่มาของชื่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์และธงชาติ
6. แคว้นออบวัลเดน (Canton of Obwalden) ตั้งอยู่ในหุบเขาซาร์เนอร์ทางตอนกลางของประเทศ ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมันเป็นภาษาแรก และภาษาแอลเบเนียเป็นภาษาที่สอง
7. รัฐนิดวัลเดน (Canton of Nidwalden) เป็นหนึ่งในสามมณฑลดั้งเดิมของสมาพันธรัฐสวิส เป็นที่ตั้งของ Stanserhorn Cabrio กระเช้าลอยฟ้าสองชั้นแบบเปิดประทุนแห่งแรกของโลก
8. แคว้นกลารุส (Canton of Glarus) อีกชื่อหนึ่งคือรัฐกลาริส (Canton of Glaris) ตั้งอยู่ทางภาคกลางตะวันออก โดดเด่นด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่นในหุบเขา และสภาพอากาศแบบอัลไพน์ในเทือกเขา
9. มณฑลซุก (Zug Canton) เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในรัฐที่เล็กที่สุดแต่ร่ำรวยที่สุด สิ่งที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบคือการล่องเรือในทะเลสาบซุก ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ของประเทศ
10. รัฐฟรีบูร์ก (Canton of Fribourg) อยู่ในเขตโรมันดีของสวิตเซอร์แลนด์ ประชากรสองในสามพูดภาษาฝรั่งเศส เป็นที่รู้จักในเรื่องการผลิตชีสแสนอร่อย
11. แคว้นโซโลธูร์น (Canton of Solothurn) รัฐนี้ถือเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยที่เมืองโซโลทูร์น (Solothurn) เมืองหลวงของรัฐได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองสไตล์บาโรกที่หรูหราที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์
12. รัฐบาเซิล-ชตัดท์ (Canton of Basel-Stadt) เมืองหลวงทางวัฒนธรรมของสวิตเซอร์แลนด์ มีพิพิธภัณฑ์จำนวนมากและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก
13. รัฐบาเซิล-ลันด์ชาฟท์ (Canton of Basel-Landschaft) ตั้งอยู่ในเขตที่พูดภาษาเยอรมันของสวิตเซอร์แลนด์ ภูมิภาคนี้มีชื่อเสียงในเรื่องป้อมปราการ ปราสาท และเส้นทางเดินป่า
14. รัฐชาฟฟ์เฮาเซิน (Canton of Schaffhausen) เป็นรัฐที่อยู่เหนือสุดของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของน้ำตกไรน์ (Rhine Falls) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป
15. รัฐอัพเพนเซล-เอาเซอร์โรเดิน (Canton of Appenzell-Ausserrhoden) โดดเด่นด้วยทิวทัศน์ภูเขาอันงดงามและความงามทางธรรมชาติอันน่าทึ่ง
16. รัฐอัปเพนเซลล์-อินเนอร์โรเดน (Canton of Appenzell-Innerrhoden) เป็นรัฐที่ใช้ภาษาเยอรมัน มีชื่อเสียงในด้านประเพณีและขนบธรรมเนียมแบบชนบท
17. รัฐเซนต์กัลเลน (Canton of St.Gallen) รู้จักกันในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของสวิตเซอร์แลนด์ตะวันออก สถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดคือมหาวิหารบาโรก (Baroque cathedral) และห้องสมุดแอบบีย์ (Abbey Library) ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก
18. รัฐเกราบึนเดิน (Canton of Graubünden) รัฐทางตะวันออกที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ และกีฬาฤดูหนาว
19. รัฐอาร์เกา (Canton of Aargau) ลักษณะเด่นของรัฐนี้คือภูเขาสูงตระหง่านทางตอนเหนือ และมีปราสาทมากมาย เช่น เลนซ์บูร์ก (Lenzburg) ปราสาทฮัลล์วิล (Hallwyl castle) และปราสาทฮับส์บูร์ก (Habsburg Castle)
20. รัฐทูร์เกา (Canton of Thurgau) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดดเด่นด้วยทัศนียภาพอันงดงาม และมีแม่น้ำทูร์ (Thur river) ไหลผ่าน เต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบครึ่งไม้ครึ่งปูนและถนนริมทะเลสาบที่ตัดผ่านเมืองต่าง ๆ
21. รัฐติชิโน (Canton of Ticino) เป็นรัฐเดียวทางตอนใต้ที่พูดภาษาอิตาลีทั้งหมด โดดเด่นด้วยวัฒนธรรมอิตาลีที่สะท้อนออกมาผ่านสถาปัตยกรรม ประเพณี และอาหารการกิน
22. รัฐโว (Canton of Vaud) เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส มีไร่องุ่นลาโวซ์ (Lavaux vineyard terrace) ซึ่งเป็นไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์
23. รัฐวาเลส์ (Canton of Valais) เป็นรัฐที่ใช้ทั้งภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในภูมิภาคแอลป์ทางตะวันตกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทางการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ที่โด่งดังที่สุดอย่าง ยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ในเมืองเซอร์แมทท์ (Zermatt)
24. รัฐเนอชาแตล (Canton of Neuchatel) รัฐชนบทที่พูดภาษาฝรั่งเศส บนชายฝั่งทะเลสาบมีเมืองเนอชาแตล (Neuchatel) เป็นเมืองหลวงของรัฐ เต็มไปด้วยปราสาทยุคกลางและโบสถ์แบบโกธิกที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12
25. รัฐเจนีวา (Canton of Geneva) เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดและเป็นศูนย์กลางการทูตระดับโลก สถานที่สำคัญของเจนีวาคือน้ำพุเจ็ตโด (Jet d’Eau) ซึ่งเป็นน้ำพุขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบ
26. รัฐจูรา (Canton of Jura) เป็นรัฐที่อายุน้อยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ รัฐนี้ถือเป็นสวรรค์สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า ปั่นจักรยาน กีฬาทางน้ำ สกีครอสคันทรี และ snow - shoes

สกุลเงิน

แม้ว่าจะตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและเป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเก้น แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้ใช้สกุลเงินยูโร (Euro) ค่ะ ซึ่งสกุลเงินที่ใช้กันในประเทศสวิตเซอร์แลนด์คือ ฟรังก์สวิส (Swiss Franc) มีสัญลักษณ์เป็น CHF หรือบางครั้งใช้ Sfr มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ฟรังก์สวิส เท่ากับ 41- 43 บาทไทยโดยประมาณ การทัวร์สวิตเซอร์แลนด์จึงต้องทำการแลกเงินสกุลฟรังก์สวิสเพื่อจับจ่ายใช้สอย โดยสามารถแลกได้ที่ธนาคาร ร้านแลกเงินในประเทศไทย ที่สนามบินหรือตามสถานีรถไฟใหญ่ ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้สวิตเซอร์แลนด์ยังเป็นสังคมไร้เงินสดในระดับสูง จึงสามารถใช้บัตรเครดิต/เดบิต เช่น Visa และ Mastercard ได้ทั่วไปในร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร และการซื้อตั๋วโดยสารต่าง ๆ แต่อาจจะต้องพกเงินสดเอาไว้เมื่อไปทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ตามเมืองเล็ก ๆ หรือหมู่บ้านบนภูเขาค่ะ

เที่ยวช่วงไหนดี

สวิตเซอร์แลนด์สามารถเดินทางไปเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี โดยแต่ละฤดูก็จะมอบประสบการณ์และวิวทิวทัศน์ที่งดงามแตกต่างกันออกไป ดังนั้นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดในการวางแผนทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ ก็คือการเลือกฤดูกาลให้เหมาะกับกิจกรรมที่อยากทำ หรือบรรยากาศที่อยากเห็นนั่นเองค่ะ

- ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เดือนมีนาคม - พฤษภาคม อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 8°C - 15°C บนภูเขายังคงมีหิมะปกคลุมค่อนข้างมาก บริเวณพื้นที่ต่ำและทุ่งหญ้าเริ่มมีดอกไม้ป่าผลิบาน ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส เหมาะกับการทัวร์สวิตเซอร์แลนด์เพื่อชมความงามของธรรมชาติที่กำลังฟื้นคืนจากฤดูหนาว
- ฤดูร้อน (Summer) เดือนมิถุนายน - สิงหาคม เป็นฤดูท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุด (High Season) อากาศอบอุ่นถึงค่อนข้างร้อน อุณหภูมิเฉลี่ย 18°C - 28°C (อาจมีสูงกว่า 30°C ในบางพื้นที่) เป็นช่วงที่วิวสวย แดดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เปิดให้บริการครบครัน เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด เช่น เดินป่า ตั้งแคมป์ ล่องเรือในทะเลสาบ ปีนเขา
- ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) เดือนกันยายน - พฤศจิกายน อากาศเริ่มเย็นลง อุณหภูมิเฉลี่ย 10°C - 18°C เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี เหมาะกับการถ่ายภาพและเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่เงียบสงบกว่าฤดูร้อน และเป็นช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวผลผลิต เช่น ไวน์และชีส
- ฤดูหนาว (Winter) เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศหนาวเย็นมาก อุณหภูมิเฉลี่ย -2°C - 4°C บนภูเขาสูงอาจหนาวติดลบมากกว่านี้ เป็นช่วงที่สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นดินแดนหิมะ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมและกีฬาฤดูหนาว เช่น สกี สโนว์บอร์ด การชมทิวทัศน์ของภูเขาหิมะที่งดงามตระการตา และเยี่ยมชมตลาดคริสต์มาส (Christmas Market)

ต้องบอกเลยว่าการเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์นั้นเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างยิ่งค่ะ เพราะประเทศนี้มีทั้งธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ วิวทิวทัศน์ที่งดงามของเทือกเขาแอลป์ และความปลอดภัยระดับสูง จึงเหมาะกับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย ดังนั้นเพื่อประสบการณ์ทัวร์สวิตเซอร์แลนด์ที่ดีที่สุด จึงควรเตรียมตัวให้พร้อม เช่น ศึกษาข้อมูลที่เที่ยวตามฤดูกาล การขอวีซ่าล่วงหน้า ประกันการเดินทาง การเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศ การหาร้านเช่าเสื้อกันหนาวดี ๆ เป็นต้น ซึ่งนอกเหนือจากประสบการณ์การท่องเที่ยวแล้ว สวิตเซอร์แลนด์ยังเป็นดินแดนที่ทำให้ผู้คนได้ค้นพบกับความสงบ ความเรียบง่าย และความสุขที่เกิดจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของยุโรปอย่างแท้จริงค่ะ